สารคดี
สัตว์โลก
ตั้งแต่สิ่งโตที่มีนํ้าหนักกว่า 400 ปอนด์ จนถึงสัตว์ขนาดเล็กที่สุด
นักล่าแต่ละพันธุ์มีลักษณะเหมือนกันคือ ธรรมชาติยังอยู่ในตัวของพวกมันทั้งหมด
พวกมันจำเป็นต้องล่าสัตว์อื่นเป็นอาหาร เพื่อความอยู่รอดและที่ต้องทำเช่นนี้
เนื่องจากมีแรงกระตุ้นแบบเดียวกันที่คงอยู่ไปชั่วชีวิตนั้นคือ สัญชาตญาณในการล่า.
บทความ
บทความเรื่อง สัตว์โลก
ตุ่น มีลักษณะคล้ายหนูตะเภาตัวอ้วน ๆ ซึ่งเป็นสัตว์ในอันดับสัตว์ฟันแทะ (Rodentia) แต่ทว่าตุ่นมีอันดับแยกออกมาเองต่างหาก ซึ่งใกล้เคียงกับหนูผี (Soricidae) มากกว่า มีขนอ่อนนุ่ม สีคล้ำอย่างสีเทาหรือสีดำ ตลอดทั้งลำตัว ซึ่งขนนี้มีคุณลักษณะพิเศษที่สามารถบิดไปในทิศทางใดก็ได้ แตกต่างจากสัตว์ประเภทอื่น ๆ ส่วนหางสั้น
ตุ่นอาศัยในโพรงใต้ดินตลอดเวลา จะไม่ขึ้นมาบนพื้นดิน หากไม่จำเป็น ดังนั้นจึงมีหูและตาเล็กมาก เพราะแทบไม่ได้ใช้ประโยชน์ และถูกเก็บซ่อนอยู่ใต้ขน เพื่อป้องกันมิให้ดินเข้าเวลาขุดดิน ในบางชนิดจะมีหนังพิเศษปิดเหนือตาด้วย ขาคู่หน้าของตุ่นซ่อนอยู่ใต้ขน ซึ่งจะยื่นออกมาแต่ส่วนปลายเป็นข้อมือที่มีเล็บที่แข็งแรง 5 เล็บ ซึ่งใช้ในการขุดโพรงดิน แต่จะใช้เดินบนพื้นดินไม่ได้เลย หากตุ่นขึ้นมาบนดินจะทำได้เพียงแค่คืบคลาน
ในโพรงใต้ดินของตุ่น มีทางยาวมาก โดยมักจะขุดให้ลึกไปจากผิวดินราว 3 นิ้วครึ่งถึงครึ่งฟุต เป็นทางยาวขนานไปกับผิวดิน และลึกจากหน้าดินราวหนึ่งฟุตก็มีอีกโพรงหนึ่งเป็นคู่ขนานด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้งสองสายนี้เชื่อมไว้ด้วยทางเชื่อมเล็ก ๆ ในแนวตามจุดต่าง ๆ เป็นระยะ ๆ แต่ในบางจุดอาจมีแนวดิ่งลึกลงไปถึง 4 ฟุต ผนังโพรงราบเรียบสม่ำเสมอกัน ที่ปลายสุดของโพรงจะใช้เป็นที่กลับตัว ซึ่งมีความกว้างเพียงขนาดเท่าตัวของตุ่น ดินที่ขุดขึ้นทำโพรงนั้นจะถูกอัดไปตามผนังโพรงเพื่อให้แน่นและแข็งแรง แต่บางส่วนก็จะถูกดันขึ้นไปเหนือพื้นดิน เห็นเป็นเนิน ๆ ซึ่งเรียกในภาษาไทยว่า "โขย"
ตุ่น กินอาหารหลัก คือ ไส้เดือนดิน และก็สามารถกินอาหารอื่นได้ เช่น หนอน, หอยทาก และพืชประเภทหัว เช่น มัน หรือ แห้ว หลายชนิด ในวันหนึ่ง ๆ ตุ่นสามารถที่จะกินอาหารได้เท่ากับน้ำหนักตัว จึงเป็นสัตว์ที่ไม่อาจอดอาหารได้นาน ในฤดูแล้งที่อาหารขาดแคลน ตุ่นสามารถจะสะสมอาหารเป็นเสบียงได้ ในโพรงดินส่วนที่เป็นห้องเก็บอาหาร โดยมีรายงานว่า ตุ่นบางตัวเก็บหนอนไว้ในห้องเก็บอาหารนับร้อยตัว โดยที่หัวของหนอนเหล่านี้ถูกกัดจนหัวขาดแล้ว แต่ยังไม่ตาย ไม่อาจจะหนีไปไหนได้
ตามปกติ ตุ่นเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ลำพัง นอกจากในฤดูผสมพันธุ์ ซึ่งในฤดูผสมพันธุ์ตัวผู้ต้องต่อสู้แย่งชิงตัวเมียเสียก่อน ตัวเมียจะเป็นฝ่ายสร้างรั งขนาดลูกรักบี้ที่บุด้วยใบไม้และฟางหรือกิ่งไม้เล็ก ๆ โดยจะอยู่ลึกจากหน้าดินประมาณ 2 ฟุต หรือตื้นกว่านั้น มีทางแยกออกจากรังหลายทาง เพื่อที่จะเข้าออกได้หลายทาง เพื่อความสะดวกและปลอดภัย ซึ่งรังของตุ่นจะสะอาดสะอ้านอยู่เสมอ
กิ้งก่าแผงคอ (อังกฤษ: Frill-necked Lizard, Frilled Lizard, Frilled Dragon) สัตว์เลื้อยคลานประเภทกิ้งก่าชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chlamydosaurus kingii เป็นกิ้งก่าเพียงชนิดเดียวในสกุล Chlamydosaurus[1]
มีรูปร่างเหมือนกิ้งก่าทั่วไป สีลำตัวเป็นสีน้ำตาลเขียว มีจุดเด่นก็คือ มีแผงคอที่สามารถแผ่ออกได้กว้างครอบหัวเวลาตกใจหรือขู่ศัตรู อีกทั้งยังสามารถวิ่งได้ด้วยขาหลังเพียง 2 ขาด้วยความเร็ว เมื่อหนีศัตรู มีนิ้วทั้งหมด 5 นิ้ว มีเล็บแหลมคม หางเรียวยาว โดยปกติจะอาศัยและหากินอยู่ตามต้นไม้
มีความยาวประมาณ 25 เซนติเมตร โตเต็มที่ในธรรมชาติ 35 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์อยู่ในทะเลทรายทางตอนเหนือของประเทศออสเตรเลีย, ปาปัวนิวกินี กินแมลงและสัตว์ขนาดเล็กต่าง ๆ เป็นอาหาร
เต่าเป็นสัตว์ที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่ครั้งโบราณ มีหลายความเชื่อในโลกนี้ที่มีตำนานว่า เต่ากำเนิดขึ้นมานับแต่สร้างโลก มีเรื่องเล่าของชาวอินเดียโบราณว่า โลกบูดๆเบี้ยวๆที่เราอาศัยอยู่นี้ ที่แท้แล้วตั้งอยู่บนหลังเต่ายักษ์ตัวมหึมา เต่าจึงเป็นสัตว์ที่รับภาระหนัก เพราะต้องแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ (มนุษย์เดินดินคนไหนที่เจอปัญหาหนักอก แล้วคิดว่าเรานี่หนอ ทุกข์หนักเหมือนแบกโลกไว้ทั้งโลกจนแทบจะทนอยู่ไม่ไหวก็คงจะต้องอายเต่า เพราะแบกโลกมานานตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แต่ไม่เคยบ่นเลยสักคำ)
ปลา ปักเปา คือสัตว์มีพิษ ที่มีคนนิยมบริโภคมาก โดยเฉพาะในแถบประเทศญี่ปุ่น (ปลาปักเปาภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ฟูกุ) และเกาหลี (ในส่วนของภาษาเกาหลีจะเรียกว่า บ๊อค ฮัง) โดนเนื้อปลาปักเป้านั้น จริงๆแล้ว ไม่ได้มีพิษ แต่ส่วนที่มีพิษก็คือพวก ผิวหนังและเครื่องในของปลาปักเป้านั่นเอา แต่พิษเหล่านี้มักจะซึมเข้าไปในเนื้อตอนแล่ พ่อครัวที่จะแล่ปลาปักเป้า ต้องมีใบอนุญาติกันเลย ถ้าหากกินพิษของปลาปักเป้าไป อาจจะทำให้เสียชีวิตได้ในทันที
บทความ
เด็กขัดรองเท้า
15 ปีที่แล้ว ตอนที่ผมลงทุนทำธุรกิจ ผมต้องเดินทางไปดูงานที่เมืองๆ หนึ่งหลังจากพูดคุยเรื่องธุรกิจเสร็จแล้ว ผมได้เข้าไปซื้อของขวัญในห้างสรรพสินค้า ซึ่งปกติเวลาที่ผมเดินห้างฯ ผมชอบพกเหรียญติดตัวไปด้วย เพราะแถวนั้นมักมีขอทานอยู่ ผมมักจะให้เงินเขาเหล่านั้นทีละเหรียญสองเหรียญ แค่นี้ผมก็รู้สึกเป็นสุขใจแล้ววันนี้ก็เหมือนกัน ในกระเป๋าของผมก็มีเศษเหรียญอยู่มากพอที่จะให้ขอทานได้หลายๆคนหลังจากที่ผมได้เดินเลือกซื้อของอยู่หลายร้าน ผมก็เจอของขวัญที่ถูกใจมาชิ้นหนึ่ง จากนั้นผมจึงออกจาห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ แล้วจู่ๆ สายตาของผมก็พลันเหลือบไปเห็นเด็กชายคนหนึ่ง ในมือของแกถืออะไรสักอย่างและกำลังมองมาทางผมสายตาของเด็กคนนั้นทำให้ผมต้องเดินเข้าไปหาเด็กน้อยคนนี้อายุน่าจะประมาณ 13-14ปี แต่งตัวดูสะอาดเรียบร้อย ผมเผ้าก็หวีเข้ารูปเข้าทรง แต่ที่แตกต่างจากเด็กอื่นๆ ก็คือ ในมือเด็กคนนั้นถือป้ายภาพอันหนึ่งแทนที่จะเป็นไอศกรีมซักแท่ง แต่กลับเป็นภาพเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังขัดรองเท้าอยู่ และมีข้อความเขียนว่า“ผมอยากได้อุปกรณ์ขัดรองเท้า”ในเมื่อยังพอมีเวลาอยู่ ผมจึงได้เดินเข้าไปคุยกับเด็กชายคนนี้ แล้วถามเด็กคนนี้ไปว่า“อุปกรณ์ขัดรองเท้าราคาเท่าไหร่เจ้าหนู?”“130 เหรียญครับ” เด็กชายมองมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง“ฉันว่ามันแพงเกินไปนะ” พูดเสร็จผมก็ส่ายหน้า“ไม่เลยครับ ผมสอบถามร้านค้าส่งในตลาดมา 4 รอบแล้ว ไม่มีร้านไหนขายได้ถูกกว่านี้แล้วครับ ”เด็กชายเล่าอย่างตั้งใจผมเห็นความตั้งใจของเด็กคนนี้ และพิจารณาแล้วว่า เด็กคนนี้ไม่น่าจะหลอกผมเป็นแน่ ผมจึงถามแกไปว่า“แล้วตอนนี้เธอมีเงินอยู่ในมือเท่าไหร่?”เด็กน้อยล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง“30 เหรียญครับ ผมขาดเงินอยู่อีก 100 เหรียญ!”ผมเปิดกระเป๋า แล้วหยิบเงินออกมา 100 เหรียญ แล้วก็บอกเด็กไปว่า“เงิน 100 เหรียญนี้ฉันให้เธอ คิดซะว่าฉันร่วมลงทุนกับเธอก็แล้วกัน แต่ฉันมีข้อแม้อยู่ว่า เมื่อเธอเริ่มมีรายได้ เธอจะต้องหักเงินออกมาคืนให้ฉัน ซึ่งฉันจะอยู่ที่เมืองนี้อีก 5 วัน ภายใน 5 วันนี้เธอต้องคืนเงินให้ฉันจนครบ และฉันขอดอกเบี้ยจากเธอ 1 เหรียญ หากเธอตกลง เงิน 100 เหรียญนี้ก็จะเป็นของเธอ!”เด็กชายร้อง “เย้!” จากนั้นก็โค้งคำนับและกล่าวตกลงพร้อมกับขอบคุณผมเป็นการใหญ่เด็กน้อยเล่าให้ผมฟังว่า เขาเรียนอยู่ชั้นประถม 6 แต่ไปโรงเรียนเพียงแค่อาทิตย์ละ 3 วัน ส่วนวันที่เหลือจะต้องช่วยแม่เลี้ยงวัว และทำงานในนา แต่การเรียนไม่เคยตกจากอันดับที่ 3 เลย แถมยังอวดว่าตนเองอีกว่าเป็นคนเก่งที่สุดอีกด้วย ผมถามเขาว่าทำไมต้องซื้ออุปกรณ์ขัดรองเท้า เด็กชายบอกผมว่า“บ้านผมยากจน ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม ผมก็เลยขอแม่เข้ามาอยู่ในตลาด เพื่อหาเงินให้แม่และเป็นค่าเล่าเรียนของผม”ผมมองเขาด้วยสายตาสุดทึ่งในความคิด จากนั้นผมจึงเดินเป็นเพื่อนเด็กคนนี้ไปซื้ออุปกรณ์ขัดรองเท้าเด็กชายแบกกล่องอุปกรณ์ขัดรองเท้าออกมาจากร้านค้าส่งและเดินตรงไปยังหน้าห้างฯที่แกยืนอยู่เมื่อครู่นี้ผมเรียกเด็กคนนี้พร้อมกับบอกว่า “ในเมื่อตอนนี้เราสองคนได้ทำธุรกิจร่วมกันแล้ว ฉันอยากจะแนะนำเธอว่า เธอไม่ควรที่จะยื่นอยู่หน้าห้างนี้นะ เพราะว่าในห้างนี้มีบริการขัดรองเท้าฟรี และคนที่มาเดินห้างนี้ก็รู้กันว่ามีบริการนี้อยู่”“ถ้าแบบนั้นผมไปตั้งร้านแถวหน้าโรงแรมดีไหมครับ” เด็กน้อยถาม“เป็นความคิดที่ไม่เลวนะ เพราะแถวนั้นมีนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจมาพักเยอะอยู่เหมือนกัน เมื่อพวกเขาเห็นเธอให้บริการรับขัดรองเท้า พวกเขาคงจะสนใจมาใช้บริการกับเธอนะ เธอนี่รู้จักเลือกที่ทำเลในการทำธุรกิจเหมือนกันนะ” ผมพูดพร้อมยกนิ้วให้กับเด็กน้อยเด็กน้อยจึงเดินเข้าไปใกล้บริเวณโรงแรม แล้ววางเก้าอี้พลาสติกและคว่ำกล่องขัดรองเท้าไว้กับพื้น เมื่อจัดสถานที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เด็กน้อยก็มองไปรอบๆ จากนั้นก็มองมายังผมเด็กน้อยพูดขึ้นว่า “ทำไมคุณไม่ให้ผมจ่ายดอกเบี้ยให้คุณก่อนครับ เพราะคุณก็รู้ดีนะว่าผมให้บริการดีขนาดไหน” ผมได้ยินจึงหัวเราะออกมา เด็กน้อย เธอจะขัดรองเท้าให้ฉันเพื่อแลกกับดอกเบี้ย 1 เหรียญนี่นะ” ผมได้ยินเด็กคนนี้พูดรู้สึกทึ่งกับความคิดของเด็กน้อยเป็นครั้งที่ 2 ดังนั้นผมจึงนั่งลงที่เก้าอี้ พร้อมกับยกเท้าขึ้นเหยียบกล่องเพื่อให้เด็กน้อยขัดรองเท้า“ดังนั้นหากฉันให้เธอขัดรองเท้าให้ฉัน แล้วเธอขัดรองเท้าไม่มันวาว ฉันจะถือว่าเธอนั้นโกหก และฉันก็กำลังลงทุนกับคนที่ไม่มีความซื้อสัตย์ นั่นแปลว่าฉันล้มเหลวกับการทำธุรกิจนี้นะ”เด็กน้อยก้มหัวขัดรองเท้าให้ผม พร้อมกับชมตัวเองว่า เขาเป็นคนเก่งที่สุดแล้ว “คุณรู้หรือเปล่า ว่าผมนั้นฝึกขัดรองเท้าหนังที่บ้านมา 1 เดือนแล้ว คุณก็รู้ว่าแถวนี้มีคนใส่รองเท้าหนังไม่กี่คู่หรอก ผมไปขอขัดรองเท้าเขามาหมดแล้ว” เด็กน้อยพูดไปพร้อมกับขัดรองเท้าไปด้วยเวลาผ่านไปไม่กี่นาที เด็กน้อยขัดรองเท้าให้ผมเสร็จสิ้น รองเท้าของผมมันเงาตามคำอวดจริงๆ ผมรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง ผมจึงหยิบกุญแจรูปหมีออกมาแล้วเขียนคำว่า “เก่งมาก” แล้วส่งให้เด็กน้อย เด็กน้อยรับเอาไว้ด้วยความดีใจสักครู่ ก็มีรถนักท่องเที่ยวมาจอดหน้าโรงแรม เด็กน้อยถือกล่องอุปกรณ์และเก้าอี้วิ่งเข้าไปยังนักท่องเที่ยว“ให้บริการขัดรองเท้าครับ ผมสามารถขัดรองเท้าของคุณให้มันวาวเหมือนกระจกได้นะครับ” มีนักท่องเที่ยวคนหนึ่งเดินเข้าพอเช้ารุ่งขึ้นผมได้แวะเข้าไปหน้าเด็กน้อยคนนี้ที่หน้าโรงแรม เมื่อเด็กน้อยเห็นผม แกได้เล่าให้ผมฟังด้วยอาการที่ใจดีว่า “เมื่อวานผมขัดร้องเท้าได้ตั้ง 60 เหรียญ เด็กน้อยหักเงินคืนผม 20 เหรียญ ค่าอาหาร 4 เหรียญ จึงมีเงินเหลืออยู่ 36 เหรียญผมจึงตบบ่าเด็กคนนี้พร้อมกับชมแกไปว่า “เก่งมาก”เด็กน้อยบอกผมว่า “เมื่อวานแกได้นอนห้องที่โรงแรมเป็นห้องนอนรวม ไม่ได้นอนใต้สะพาน แถมยังไม่ได้จ่ายค่าห้อง 5 เหรียญอีกด้วย” ผมสงสัยจึงถามเด็กคนนี้ว่า ทำไม่ถึงไม่ได้จ่ายค่าห้องพัก”แกจึงตอบผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและพอใจว่า “ผมช่วยขัดรองเท้าให้กับเจ้าของโรงแรม 10 กว่าคู่ ซึ่งเย็นนี้ผมก็ไม่ต้องจ่ายค่าห้องเช่นกัน”ระยะเวลา 5 วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงเวลาที่ผมจะต้องเดินทางกลับ เด็กคนนี้คืนเงินผมวันละ 20 เหรียญจนครบ 100 เหรียญในวันสุดท้ายเด็กน้อยรู้ว่าผมเป็นผู้จัดการบริษัทที่ ปักกิ่ง และได้บอกผมว่า หากเขาเรียนจบปริญญาตรีเขาจะไปตามหาผมที่ปักกิ่ง พร้อมกับยื่นมือดำๆ ของเขามาให้ผมจับ ผมจับมือเด็กน้อยเอาไว้แน่นผมได้ทำงานอยู่บริษัทในปักกิ่งหลายปี จนได้ออกมาเปิดบริษัทเทรดดิ้งเอง วันนี้ผมวุ่นวายแต่เช้าเนื่องจากบริษัท ประสบปัญหาขาดทุนเยอะพอสมควร ผมไปขอกู้เงินจากเพื่อนๆ และธนาคารหลายแห่ง แต่ไม่มีใครสามารถที่จะช่วยผมได้หลังจากที่ผมวางสารโทรศัพท์ลง เลขาเข้ามารายงานกับผมว่า กลางวันนี้มีนักธุรกิจหนุ่มท่านหนึ่งจะเข้ามาพบและนัดรับประทานอาหารกลางวัน ผมมัวแต่ยุ่งๆ กับบัญชีรายจ่ายเพื่อหาทางหาทางแก้ไขมัน โดยไม่ได้มองหรือถามเลขาว่านักธุรกิจหนุ่มท่านนั้นเป็นใคร จนเลขาได้ยื่นเอาพวงกุญแจอันหนึ่งมาวางที่โต๊ะให้ผม ผมมองกุญแจอันนั้นด้วยความตกตะลึง ซึ่งที่กุญแจมีอักษรคำว่า “ผมเก่งมาก” อยู่ตรงรูปหมีผมนึกขึ้นได้ว่าได้เอากุญแจอันนี้ให้กับเด็กขัดรองเท้าเอาไว้ เมื่อ 15 ปีก่อน และได้เขียนอักษรบนหมีว่า “เก่งมาก” ซึ่งเวลาผ่านไปเด็กคนนี้คงจะเขียนอักษรเพิ่มเป็น “ผมเก่งมาก” อยู่บนรูปหมีเมื่อถึงเวลาที่เด็กคนนั้นนัดผมเอาไว้เที่ยง ณ ห้องอาหารในโรงแรมแห่งหนึ่งผมเดินเข้าไปยังโต๊ะที่จองเอาไว้ ผมเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ใส่สูทยืนขึ้นพร้อมกับโค้งคำนับและยิ้มให้กับผมในรอยยิ้มและสายตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ทำให้ผมนึกถึงภาพเด็กน้อยเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมาผมและเด็กหนุ่มรับประทานอาหารร่วมกันพูดคุยกันอย่างสนุกสนานและถูกคอ เมื่อรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มได้ยื่นเช็คให้ผมระบุจำนวนเงิน 5 ล้านเหรียญพร้อมกับพูดกับผมว่า“ผมอยากจะร่วมลงทุนกับคุณ ในเวลา 5 ปี คุณต้องคืนทุนให้กับผม”“โห 5 ล้านเหรียญ” ผมพูดออกมาด้วยความตกใจ ซึ่งจำนวนเงินนี้สามารถแก้ปัญหาธุรกิจของผมได้เด็กหนุ่มเล่าต่อไปว่า“เมื่อ 15 ปีก่อน คุณเคยสอนให้ผมมีชีวิตอยู่รอด นับจากวันนั้นผมจึงได้มุ่งมั่นที่จะสร้างฐานะ ผมได้แต่เก็บเงินออมจนตอนนี้ผมมีบริษัทเป็นของตัวเอง สำหรับเงิน 5 ล้านเหรียญที่ผมให้คุณ ผมจะขอดอกเบี้ยประมาณหนึ่ง”ผมจึงถามเด็กหนุ่มว่า จำนวนเงินที่ว่านั้นเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่”ชายหนุ่มตอบผมว่า “1 เหรียญครับ”ผมได้ฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้งและดีใจเป็นอย่างมาก 100 เหรียญที่ผมได้ให้เด็กคนนั้นไปลงทุนไป 15 ปีก่อนโดยไม่ได้ตั้งใจนั้น กลับจะส่งผลให้ผมได้รับเงินตั้ง 5 ล้านเหรียญในวันนี้ นี่คงเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนอย่างมหาศาลที่ชีวิตผมจะได้รับเป็นแน่
- See more at: http://www.kwamru.com/375#sthash.RBkgXVXW.dpuf
ธนาคารเวลา
เมื่อท่านอ่านบทความนี้จบ ให้ลองถามตนเองว่า “สิ่งไหนที่สำคัญ แล้วได้ทำสิ่งนั้นหรือยัง?” “ใครที่เรารัก แล้วได้ทำดีกับเขาหรือยัง?” ลองจินตนาการว่ามีธนาคารแห่งหนึ่ง นำเงินเข้าบัญชีให้คุณทุกเช้า เป็นจำนวนเงิน 86,400 บาท แต่ไม่มีการยกยอดคงเหลือไปวันรุ่งขึ้น ทุกสิ้นวันยอดเงินที่เหลืออยู่จะถูกลบจนหมด คุณจะทำอย่างไร? แน่นอนที่สุดคุณต้องถอนมาใช้ทุกบาททุกสตางค์ ใช่ไหม!!! เราทุกคนก็มีธนาคารอย่างนี้เหมือนกัน ธนาคารแห่งนี้ชื่อว่า “เวลา” มันเข้าบัญชีให้คุณ 86,400 วินาที ทุกคืนมันจะถูกล้างบัญชีเหลือศูนย์ มันไม่สะสมยอดคงเหลือ ไม่ให้เบิกเกินบัญชี ถ้าคุณเสียโอกาสที่จะใช้มันให้เกิดประโยชน์ในระหว่างวัน ผลขาดทุนก็เป็นของคุณ ไม่สามารถถอยหลังกลับไปใช้ได้ ไม่มีการถอนของ “วันพรุ่งนี้” มาใช้ได้ คุณต้องมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันด้วยยอดเงินฝากของวันนี้ ให้ลงทุนจากเงินฝากเหล่านี้เพื่อได้ผลตอบแทนกลับมาดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ ความสุข และความสำเร็จ นาฬิกากำลังเดินไม่หยุด จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด และมีคุณค่าที่สุด จงใช้เวลาที่มีให้มีคุณค่า และจำไว้เสมอว่า “เวลา” จะไม่คอยใครแม้สักคนเดียว เมื่อวานคืออดีต พรุ่งนี้ยังยากที่จะอธิบาย ส่วนปัจจุบันเป็นของขวัญที่เรามี เราจึงเรียกมันว่า “Present”
- See more at: http://www.kwamru.com/191#sthash.Hwi1R9eo.dpuf
แว่นตาชีวิต
ครรวยกว่าใคร ลองพิจารณาดู… มหาเศรษฐีผู้หนึ่งสุดแสนจะภาคภูมิใจ ที่ลูกชายวัยห้าขวบของเขา ได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมาก ซึ่งต้องเป็นระดับเศรษฐีอย่างพวกเขาจึงจะมีปัญญาส่งลูกหลานเข้าเรียนที่โรงเรียนนี้ได้ โดยส่วนตัวเขาเอง ก็ต้องการสอนให้ลูกชายรู้จักกับชีวิตจริงในสังคม ควบคู่ไปกับการสอนวิชาการในโรงเรียน ในวันหยุดเขาจะตระเวนพาลูกชายของเขาท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ ต่อมาวันหนึ่ง เขาก็อยากรสอนเรื่องความยากจนให้กับลูกชาย เพราะเขามีความเชื่อว่า ลูกชายของเขาคงยากที่จะต้องเจอ เขาได้พาลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาในต่างจังหวัดครอบครัวหนึ่ง และให้พักอยู่กับชาวนาเพื่อเรียนรู้ความเป็นอยู่ของคนยากจนเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน หลังจากนั้นลูกชายก็ได้กลับถึงคฤหาสน์ของเขา เศรษฐีก็ทดสอบว่าลูกชายได้อะไรมาบ้างจากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน ลูกชายตอบคำถามผู้เป็นพ่อว่า เขาขอบคุณเป็นอย่างมากที่ได้พาเขาไปพบกับชาวนาและพักแรมที่นั่น ซึ่งทำให้เขาได้พบว่า…. ….ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่ ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่แม้จะกว้าง แต่ก็ยังน้อยกว่าท้องทำงานของชาวนา ….อาหารที่ชาวนารับประทาน สามารถหาได้ตลอดเวลารอบๆ บริเวณบ้านโดยไม่ต้องซื้อ ในขณะที่บ้านของเรา มีเพียงตู้เย็นเท่านั้นที่เป็นที่เก็บอาหาร …….ตอนรับประทานอาหารก็มีเพื่อนคุยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา พ่อแม่ลูก ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหารกับโต๊ะอาหาร ที่ยาวเกือบสิบเมตร แต่มีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน ……ลูกชาวนาเวลาที่ซ้อนท้ายจักรยานพ่อเขา ต้องกอดเอวพ่อเพื่อไม่ตกจากจักรยาน แต่เขาเองต้องนั่งในรถที่ใหญ่โตอยู่ด้นหลังเพียงลำพัง โดยมีคนขับรถพาไป ………ชาวนามีแสงดาว แสงจันทร์เป็นโคมไฟส่องสว่าง ตลอดเวลาในตอนกลางคืน โดยไม่ขาดแคลน แต่เขาก็มีเพียงแสงจากโคมไฟ ที่ต้องซื้อด้วยเงิน ……..ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำและภูเขาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงบล๊อคในพื้นที่ไม่กี่ไร่ ………ลูกชาวนามีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีด หิ่งห้อยนับร้อยนับพัน แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย…. ผู้เป็นพ่อฟังแล้วเงียบพูดอะไรไม่ออก ลูกชายสบตาพ่อแล้วกล่าวต่อว่า…. “ขอบคุณมากครับพ่อ ที่ช่วยให้ผมได้เรียนรู้ว่าเราจนขนาดไหน” คุณเห็นด้วยไหมว่า “แว่นตาชีวิต” เป็นสิ่งที่อัศจรรย์ยิ่งนัก คิดดูสิว่าโลกจะเปลี่ยนไปสักเพียงใด หากเราทุกคนเปลี่ยนมาเป็นพอใจในสิ่งที่เรามีตามความเหมาะสม แทนที่จะดิ้นรนไขว่คว้าเพื่อสิ่งที่เรายังไม่ได้มา จงพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เพื่อน” ชีวิตหนึ่งของเรานั้นสั้นนัก จงแบ่งปันความรู้สึกที่ดีๆให้เพื่อนของเรา เหมือนที่เราอยากได้
- See more at: http://www.kwamru.com/174#sthash.w3QLtR1Q.dpuf
คิดแบบ “ผึ้ง” หรือว่า “แมลงวัน”
สมมุติว่าเราจับผึ้งจำนวน 6 ตัว ใส่ในขวด และจับแมลงวัน 6 ตัว ใส่ในอีกขวด จากนั้นวางขวดนอนลง โดยหันก้นขวดไปยังหน้าต่างที่มีแสงสว่างกว่า เราจะพบว่า…กลุ่มผึ้งจะพยายามบินออกทางก้นขวด จนกระทั่งมันตายจากการขาดอาหารหรือว่าหมดแรง ในขณะที่แมลงวัน จะบินวนอยู่ในขวดชนไปชนมา แต่ก็จะค่อยๆทยอยบินหาทางออกมาจากขวดได้ จากฝั่งคอขวด ที่อยู่ตรงกันข้ามกับก้นขวดซึ่งหันไปทางหน้าต่าง ทำไมผลการทดลองจึงออกมาแบบนี้…. นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ผึ้งเป็นสัตว์ที่ฉลาด มีองค์ความรู้ พวกมันรู้ว่าหากบินไปในทิศทางที่มีแสงสว่าง จะเป็นทางออกจากรัง แต่เมื่อมันต้องมาอยู่ในขวด ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ผึ้งไม่เคยประสบมาก่อน มันก็ยังคงเชื่อในความคิดแบบเดิมๆไม่เปลี่ยนแปลง คือ ต้องบินออกทางแสงสว่างเท่านั้น แต่สำหรับแมลงวัน เป็นสัตว์ที่ไม่มีความคิดเป็นตรรกะอะไร ดังนั้นเมื่อมันถูกจับไว้ในขวด มันจึงบินชนผนังขวดแกะทางไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็พบกับทางออก การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่า คนฉลาดก็สามารถที่จะพลาดพลั้งล้มเหลวได้ หากมีความรู้แต่ยึดติดกรอบเดิมๆ ในขณะที่ผู้ไม่รู้ หากทำในสิ่งที่แตกต่าง ก็อาจประสบความสำเร็จได้เช่นกัน
- See more at: http://www.kwamru.com/300#sthash.6syC4H2m.dpuf
ดวงจันทร์สองดวง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว…. สมัยที่โลกยังมีพระจันทร์ 2 ดวง ดวงจันทร์ดวงหนึ่งเป็นผู้หญิงและอีกดวงเป็นผู้ชาย ดวงจันทร์ทั้ง 2 ดวงนี้ต่างรักกันและไม่เคยแยกห่างจากกัน ทุกๆคืนเมื่อมองขึ้นไปบนฟ้าจะเห็นดวงจันทร์ทั้งคู่อยู่เคียงข้างกัน …แต่แล้ววันหนึ่ง… ดวงจันทร์ผู้หญิงก็ได้ไปพบกับดวงอาทิตย์ ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงหลงใหลในแสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์ จนเลื่อนตัวตามดวงอาทิตย์ไปทีละน้อย ทีละน้อย และแล้วก็แยกมาจากดวงจันทร์อีกดวงนึงในที่สุด เมื่อค่ำคืนมาถึง… จึงมีดวงจัทร์ผู้ชายเหลืออยู่เพียงดวงเดียว ดวงจันทร์ผู้ชายจึงได้แต่ออกตามหาดวงจันทร์ผู้หญิงไปทุกหนแห่ง …คืนแล้วคืนเล่า… …วันเวลาล่วงผ่านไป… ดวงจันทร์ผู้ชายก็ยังไม่สามารถหาดวงจันทร์ผู้หญิงพบ ด้วยความคิดถึงและอยากพบดวงจันทร์ผู้หญิงเป็นที่สุด ทำให้ดวงจันทร์ผู้ชายคิดว่า “หากเรามัวแต่ตามหาอยู่อย่างนี้ คงไม่ได้เจอหญิงที่เรารักเป็นแน่แท้” จึงตัดสินใจระเบิดตัวเอง เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทั่วจักรวาล เพื่อให้ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นออกตามหาดวงจันทร์อีกดวง …เมื่อเวลาผ่านไป… ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงได้เห็นถึงความจริงว่า… แม้ว่าดวงอาทิตย์จะส่องแสงเจิดจ้าสวยงามสักเพียงใด แต่ดวงอาทิตย์ก็มิได้ส่องแสงเจิดจ้าแต่เพียงเธอเท่านั้น แต่ยังส่องแสงไปที่ดาวดวงอื่นๆอีกมากมาย ดวงจันทร์ผู้หญิงจึงกลับมาหาดวงจันทร์ผู้ชายอีกครั้ง แต่หาเท่าไหร่ ก็หาดวงจันทร์ผู้ชายไม่พบ ต่อมาจึงได้รู้ว่า… ดวงจันทร์ผู้ชายยอมระเบิดตัวเองเพื่อตามหาตน จดกระจัดกระจายเป็นเศษเสี้ยวเล็กๆ ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงได้รู้ว่าไม่มีวันที่จะได้เจอกับดวงจันทร์ผู้ชายอีกต่อไปแล้ว จึงได้แต่โศกเศร้าเสียใจ แต่ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ที่ดวงจันทร์ผู้ชาย มีให้กับดวงจันทร์ผู้หญิง ทุกค่ำคืนจึงพยายามเปล่งประกายแสง ที่ยังเหลืออยู่น้อยนิดของตนส่งให้ถึงดวงจันทร์ผู้หญิง เกิดเป็นแสงพร่างพรายเต็มท้องฟ้าเคียงข้างดวงจันทร์ จนเกิดเป็นดวงจันทร์และดวงดาวให้เรืองแสงเห็นจนถึงทุกวันนี้… หากเรามองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน วันไหนที่เห็นจันทร์สวยสด วันนั้น…คุณก็จะไม่เห็นดาวดวงเล็กดวงน้อย หากวันไหนคุณเห็นดาวเปล่งประกายเต็มท้องฟ้า วันนั้น…คุณก็จะไม่พบดวงจันทร์ สุดท้าย….เธอและเขาก็ไม่ได้พบกัน…ตลอดกาล ก่อนที่คุณจะตัดสินใจเลือกใครที่ดีกว่า อย่าลืมว่ายังมีคนที่คุณเคยรักเค้าและเค้าก็รักคุณอยู่ตลอดไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าเขาคนนั้น อาจจะไม่ได้แม้เพียงเสี้ยวหนึ่งของคนใหม่เลยก็ตาม
- See more at: http://www.kwamru.com/97#sthash.sV5mqCrr.dpuf
มือของแม่…
ภาพหญิงชรา ที่เดินหาบขนมขายอยู่ริมถนน ทำให้ผมหยุดชะงักอยู่ชั่วขณะ แม้ว่าแกจะเดินจากไปแล้ว แต่ภาพหญิงแก่ที่ยกมือขึ้นปาดเหงื่อ เดินฝ่าเปลวแดดออกไปนั้น ยังคงติดตรึงอยู่ในสายตาของผม จนยากที่จะสลัดออก มือหยาบกร้านที่มีแต่เส้นเอ็นปูดโปนของหญิงแก่ ทำให้ผมนึกถึงมือของผู้หญิงคนหนึ่ง…. ผู้หญิงซึ่งทำทุกอย่างเพื่อลูกน้อยของตนได้โดยไม่หวังอะไร นอกจากรอยยิ้มของลูก ….. ผู้หญิงคนนั้น…. คือ แม่ของผมเอง แม่เป็นแม่ค้า ที่หาบขนมขายอยู่ข้างถนน วันไหน ขายดี ก็มีเงิน พอจับจ่ายตามอัตภาพ หากวันไหน ขายไม่ได้ ก็ต้องใช้เงินอย่างกระเบียดกระเสียร แต่แม่ก็ไม่เคยยอมให้ผมรู้จักกับความหิวโหย อะไรที่อยากกิน แม่มักหามาให้ผมเสมอ ไม่ว่าของสิ่งนั้นมันจะทำให้แม่ต้องอดสักกี่มื้อก็ตาม เวลาที่ผมนั่งกินขนมอย่างเอร็ดอร่อย แม่มักจะมองดูเงียบๆ ริมฝีปากของแม่ปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ อย่างมีความสุข ตอนนั้น ผมไม่เคยสนใจเลยว่า ขนมชิ้นเล็กราคาแพงที่แม่หามาให้นั้น ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อของแม่กี่หยด ไม่เคยนึกสงสัยด้วยซ้ำว่า หลังจากที่ผมกินขนมจนอิ่ม จะมีอะไรเหลือตกถึงท้องแม่ไหม ? ผมรู้เพียงอย่างเดียวคือ แม่เป็นหญิงแก่ที่หาบขนมขาย………. …….ยามใดที่มโนธรรมมาย้ำเตือนให้ผม คิดถึงความเหน็ดเหนื่อยของแม่ สัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอด ก็มักจะหลบเลี่ยงความรู้สึกผิดในใจด้วยการบอกว่า ในเมื่อแม่เกิดผมมา มันก็เป็นหน้าที่ของแม่ที่ต้องหาบขนมขายเพื่อหาเลี้ยงผม ถ้าไม่มีอะไรกิน ขนมที่เหลือจากการขายมันก็ช่วยให้แม่อิ่มได้นี่นา ยามใด ที่มือนั้นยื่นมาจับต้องดึงผมไปกอดไว้แนบอก ยามนั้น ผมก็มักจะเบี่ยงตัวหนีด้วยความรู้สึกขยะแขยง แม้ไม่เอื้อนเอ่ยออกมาเป็นวาจา แต่แววตาที่ผมแสดงออก มันก็บอกถึงความรู้สึกภายในอย่างโจ่งแจ้ง แววตาที่ทำให้แม่ชะงัก แม่มองหน้าผมอย่างเข้าใจ แล้วก็มีท่าทีงกๆ เงิ่นๆ อย่างคนรู้สึกผิด แม่ไม่พูดอะไรสักคำ มือหยาบกร้านนั้นกำแน่นค่อยๆ ตกอยู่ข้างลำตัว ไหล่ของแม่ลู่ลง… หลังจากวันนั้น มือของแม่ไม่กล้าที่จะเอื้อมมากอดผมอีกเลย ….ตอนนั้น ผมรู้สึกสบายใจนะ ที่ไม่ต้องสัมผัสกับมือที่หยาบกระด้างที่น่ารังเกียจนั่น …แต่เมื่อ เวลาผ่านไป ผมกลับเกิดความรู้สึกที่ต่างจากเดิม… จริง ๆ แล้วสิ่งที่น่ารังเกียจ ไม่ใช้มือหยาบกร้านของแม่หรอก มือที่เนียนสวยราวกับลูกผู้ดี ของผมต่างหากที่น่าขยะแขยง ขณะที่มือแม่กร้านเพราะ กรำงานหนักเพื่อเลี้ยงผม แต่มือที่อ่อนนุ่มของผมไม่เคยทำประโยชน์เพื่อใครเลยนอกจากตัวเอง น่าขันนะ เมื่อผมเติบใหญ่ และประสบความสำเร็จในชีวิต หลายครั้งหลายคราที่มีโอกาสจับต้องมือของผู้หญิงมากหน้า มือที่ นิ่ม หอมกรุ่นกับเล็บเคลือบสีสด และเรียวปากนุ่มสวยช่างฉอเลาะนั้นไม่ได้ทำให้ผมโหยหาเลยสักนิด สิ่งที่ผมร่ำร้อง กลับเป็น มือที่หยาบกระด้างของผู้หญิงเพียงคนเดียว… ผู้หญิงที่หาบคอนกระจาด เดินเร่ขายขนมอยู่ข้างถนนเพื่อเลี้ยงลูกชาย ผู้หญิงไม่ค่อยพูด ที่มักใช้สายตาเฝ้ามองผมอยู่เงียบๆ สายตาที่สื่อความรู้สึกของแม่คนนึงซึ่งมีต่อลูก สายตาอ่อนโยนคู่นั้นเหมือนกับจะบอกผมเสมอว่า ผมคือ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของแม่… อาจจะเป็นเพราะพ่อจากไปอยู่กับผู้หญิงคนอื่นตั้งแต่ผมยังเล็กก็ได้ ทำให้แม่พยามทำทุกอย่างเพื่อชดเชยความเป็นลูกไม่มีพ่อให้ผม เท่าที่แม่ค้าหาบขนมขายอย่างแม่จะทำได้ แม่คงกลัวว่าผมจะกลายเป็นเด็กมีปัญหาเพราะขาดพ่อล่ะมั้ง แต่แม่ไม่เคยรู้หรอกว่า ในสายตาของผม….ผู้ชายที่ทำให้ผมเกิดมา ไม่ได้มีความสำคัญกับผมเลยสักนิด….. ผมเกลียดผู้ชายคนนั้น ….. ตาแก่ที่กินเหล้าจนเมา เอะอะ โวยวาย ทำร้ายแม่ผม หลายครั้งที่ผมเห็นพ่อใช้คำพูดถากถาง ระราน อาละวาดใส่แม่ แม่ผู้น่าสมเพชของผมก็ไม่เคยลุกขึ้นมาต่อต้านเลยสักนิด แม่มักยอมพ่อเสมอ….. ยอมถูกซ้อมเป็นกระสอบทราย แล้วก็แอบไปนั่งร้องไห้คนเดียวเงียบๆ ยอมทำงานหนักเดินขายของวันละหลายๆ กิโล เพื่อเอาเงินมาเลี้ยงครอบครัว …….ส่วนเงินเดือนของพ่อน่ะหรือ? มันจมลงในขวดเหล้าหมดแล้ว สภาพของแม่ที่ผมเห็น ทำให้ผมได้แต่นึกในใจว่า ถ้าผมแต่งงาน ผมจะหา เมีย อย่างแม่ แต่ถ้าผมเป็นผู้หญิง ผมจะไม่ยอมมีชีวิตที่น่าเวทนาแบบแม่ เด็ดขาด! ผู้หญิงที่ยอมเป็นกระโถนรองรับอารมณ์ของผู้ชาย ผู้หญิงที่ยอมให้สามีโขกสับอย่างกับทาสในเรือนเบี้ย ยอมทำงานบ้านจนดึกจนดื่น ยอมตื่นแต่เช้ามาทำขนมขายเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ยอมแม้กระทั่งให้ผู้หญิงอื่นมาแย่งผัวตัวเองไปต่อหน้าต่อตา แม่ยอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้น โดยไม่เคยคิดจะต่อสู้เรียกร้องสิทธิอะไรเลย แม่มีปากเสียงกับพ่อเพียงครั้งเดียว ตอนที่พ่อจะเอาผมไปอยู่ด้วย ตอนนั้นผมเห็นแม่สู้ยิบตาราวกับหมาจนตรอกเลยทีเดียว พ่อยอมให้ผมอยู่กับแม่อย่างไม่คิดจะเยื้อแย่ง “น้ำหน้าอย่างเธอ จะเลี้ยงลูกได้สักแค่ไหนกันเชียว อีกหน่อยลูกมันคงต้องหาบขนมขายทั้งชาติ เหมือนเธอนั่นแหล่ะ” นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่แม่และผมได้ยินจากปากของพ่อ มันเป็นคำพูดที่ทำให้แม่ฮึดสู้ แม่ทำงานหนักตัวเป็นเกลียวเพื่อหาเงินส่งผมเรียนสูงๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้ทำให้แม่ผิดหวังเลย การเรียนของผมอยู่ในขั้นดีเยี่ยมจนได้รางวัลจากทางโรงเรียนเสมอ เปล่าหรอกนะ ผมไม่ได้ตั้งใจเรียนเพื่อแม่หรอก ตลอดเวลาผมไม่ได้คิดที่จะทำอะไรเพื่อแม่เลยสักครั้ง แต่ที่ผมตั้งใจเรียน ก็เพราะรู้ว่า….การศึกษาเป็นหนทางเดียว ที่จะทำให้ผมหลุดพ้นจากบ้านในสลัมโทรมๆ แห่งนี้ต่างหาก ความทะเยอทะยานในอดีตเป็นแรงผลักดัน ที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จในชีวิต โดยมีโอกาสดี ๆ ที่โชคชะตาหยิบยื่นให้เป็นตัวช่วยสนับสนุน สิ่งเหล่านี้ ทำให้ผมหลงระเริงอยู่นานทีเดียว มันทำให้ผมหยิ่งผยอง คิดว่าตัวเองนั้นเก่งกล้า สามารถก้าวจากจุดศูนย์ขึ้นมายืนผงาดอยู่ได้ด้วยขาตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ ความจริงแล้ว ความสำเร็จของปริญญาระดับด๊อกเตอร์ ที่แปะข้างฝาบ้านของผมนั้นมีแม่อยู่เบื้องหลังเสมอ แม่ผู้จบ ป. 4 แต่ไม่มีเงินซื้อใบสุทธิ ขาของผมยืนผงาดออยู่ได้ ด้วยการเหยีบบ่าของแม่โดยแท้ และผมก็ไม่เคยสนใจเลยสักนิดว่า บ่าที่เหยียบเป็นฐานนั้นจะชอกช้ำเพียงใด เพราะเจ้าของบ่า ไม่เคยปริปากบอกผมเลย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไร แม่ก็ยังคงเป็นคนพูดน้อยทำมากเสมอ แม่เป็นผู้ฟังที่ดีมาตั้งแต่ผมยังเด็กแล้ว ทุกครั้งที่ผมมีความกังวล แม่จะคอยรับฟังเสมอ เวลาที่ผมระบายสิ่งที่อัดอั้นตันใจ หลายครั้งที่แม่ฟัง จำนวนเงินที่เด็กชายเอ่ยขอ ยามต้องการจะซื้อของต่างๆ เพื่อให้มีเหมือนลูกคนอื่น แม่ไม่เคย แย้ง นิ่ง…ฟัง… หลังจากวันนั้น แม่ขายของจนค่ำมืดกว่าปกติอยู่หลายวัน และวันหนึ่งแม่ก็ยื่นเงินให้ผมเพื่อไปซื้อของที่อยากได้ ยามที่ผมรับเงินจากมือของแม่ ผมรู้สึกว่า มือของแม่หยาบกร้านกว่าเคย…. แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนักหรอก เพราะถึงมือ มือนี้จะต้องหยาบกร้านเพิ่มขึ้นสักแค่ไหน มันก็ยังคงหยิบยื่นมความสะดวกสบายให้ผมได้เหมือนเดิม และมันก็เป็นเช่นนี้เสมอมา ไม่ว่ายามที่ผม สุข หรือ ทุกข์ มือของแม่จะอยู่เคียงข้าง คอยช่วยประคับประคองผมเสมอ ตราบชั่วชีวิตของแม่ จนกระทั่ง วันนี้… หลายสิ่งในชีวิตของผมเปลี่ยนไป….. ผมมีชื่อเสียง มีเกียรติยศ มีคนนับหน้าถือตา มีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันงาม มีเงินทอง มีมือนุ่มนิ่มของผู้หญิงสวยๆ คอยคลอเคลีย ทุกสิ่งที่ผมเคยต้องการล้วนมากองอยู่แทบเท้าของผม แต่สิ่งที่ผมอยากได้มากที่สุดกลับขาดหายไป ณ วันนี้ ข้างกายของผม ไม่มีมือของแม่…..
- See more at: http://www.kwamru.com/84#sthash.x1X5nt3w.dpuf
เรื่องฮาๆ ของอวัยวะในร่างกาย
ตา —> อวัยวะที่ใช้ในการมอง มักจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดี
หู —> อวัยวะที่ใช้ในการฟัง ส่วนมากจะมีน้ำหนักเบา เพื่อสะดวกในการพกพา
ปาก —> อวัยวะที่ใช้ในการพูด ส่วนมากจะอยู่ไม่ตรงกับใจ
จมูก —> อวัยวะที่ใช้ในการหายใจ ถ้ายื่นเข้าไปในเรื่องของคนอื่นเขาเรียกว่า ..แส่
บ่า-ไหล่ —> อวัยวะที่อยู่เคียงคู่กันมา ดังที่เรียกว่า “เคียงบ่าเคียงไหล่” มีให้คนคนขี้เหงาได้ซบ ถ้าเป็นจับกังก็ใช้แบกหาม ข้าวสาร ปูน…
หัวใจ —> อวัยวะที่ใช้สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงร่างกาย คนที่เจ้าชู้ส่วนใหญ่มักจะเก็บตัวจริงไว้ แล้วถ่ายเอกสารไว้ใช้อย่างพร่ำเพรื่อ
ปอด —> อวัยวะที่ใช้ฟอกโลหิต แต่ถ้าปอดแหกจะเก็บความกล้าหาญไว้ไม่ได้
นม —> อวัยวะที่สุภาพสตรีอยากให้ยื่นไปข้างหน้ามากกว่าพุง
ศอก —> ข้อต่อระหว่างแขนท่อนบนกับแขนท่อนล่าง ใช้เป็นอาวุธประจำกาย หรือใช้สำหรับรองน้ำดื่มสำหรับหญิงที่มาทีหลัง
ตัว —> เป็นชิ้นส่วนที่ใหญ่ของร่างกายมีไว้ให้ส่วนอื่นได้พักพิง มักจะลืมกันมากในเวลาได้ดิบได้ดี
สะดือ —> เป็นอวัยวะที่ใช้เชื่อมต่อกับแม่ตอนอยู่ในครรภ์ เมื่อใดใช้วัดความสุภาพ…ถ้าอยู่ต่ำกว่าสะดือ ถือว่าทะลึ่ง
ขาอ่อน —> เป็นส่วนที่เชื่อมต่อมาจากสะโพก มักนิยมใช้ประกวด เพราะมองเห็นง่ายกว่าสมอง
หัวเข่า —> เป็นข้อต่อระหว่างขากับแข้ง เป็นอาวุธประจำกาย ผู้หญิงใช้โจมตีจุดอ่อนของผู้ชาย และบางคนใช้เช็ดน้ำตาเวลาเศร้า โดยเฉพาะคนที่แอบรักผัวชาวบ้านเขา
ขนหน้าแข้ง —> ใช้วัดระดับฐานะทางการเงิน ยิ่งรวยมาก ขนหน้าแข้งจะร่วงน้อย
เท้า —> เป็นอวัยวะที่ใช้ในการยืน เดิน หรือเป็นอวัยวะที่ใช้ผลัก หรือที่เรียกว่ากันทั่วไปว่า..ถีบ
- See more at: http://www.kwamru.com/99#sthash.9qd06qjO.dpuf
ที่มา : http://www.kwamru.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น